คณิตศาสตร์ (เพิ่มเติม)ม.1 เรื่องจำนวนเเละตัวเลข

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่ 2 เรื่องระบบตัวเลขฐานต่างๆ


ระบบตัวเลขฐานต่างๆ

             ระบบตัวเลขในแต่ละระบบจะมีจำนวนตัวเลขโดด (Digit) เท่ากับชื่อของระบบตัวเลขฐานนั้น ๆ ได้แก่
      ระบบเลขฐานสอง (Binary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 2 ตัว คือ 0 และ 1
      ระบบเลขฐานห้า (Quinary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 5 ตัว คือ 0, 1, 2, 3 และ 4 ระบบเลขนี้นิยมแพร่หลายในพวกเอสกิโม (Eskimos) และอินเดียนในอเมริกาเหนือ
ระบบเลขฐานแปด (Octal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7
     ระบบเลขฐานสิบ (Decimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9
     ระบบเลขฐานสิบสอง (Duodecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 12 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, a และ b ซึ่งระบบเลขฐานสิบสองนี้จะเห็นได้จากนาฬิกา นิ้วและฟุต 
    ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 16 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E และ F

   ระบบเลขฐานสิบ
          ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบเลขพื้นฐานที่เราใช้สื่อความหมายมาโดยตลอด ซึ่งจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นเลขโดด (Digit) จำนวน 10 ตัว คือ 0 ถึง 9 ในการเขียนเลขฐานสิบจะกระทำได้โดยการนำเลขโดด 1 ตัวมาเขียน ซึ่งสามารถเขียนค่าต่าง ๆ เรียงตามลำดับของมัน เช่น 0, 1, 2,…, 9 ซึ่งจะเห็นว่าถ้านำเลขโดดเพียง 1 ตัวมาใช้ในการเขียนเพื่อสื่อความหมายนั้น เลข 9 จะเป็นค่าสูงสุดแล้ว ในความเป็นจริงเราจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น นั่นหมายความว่าในการเขียนเลขโดยใช้เลขโดดเพียงตัวเดียวคงไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องนำเลขโดดหลาย ๆ ตัวมาเขียนประกอบกันเป็นค่าตัวเลขที่เราต้องการ เลข 9 ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ถ้าเราสังเกตจะเห็นค่าตัวเลขที่เป็นตัวนำอยู่ คือ 0 นั่นเอง เราก็จะเห็นเป็น 09 หมายความว่าถ้าต้องการเพิ่มค่าให้มากกว่านี้อีก 1 ค่า เราจะต้องเปลี่ยนเลขในหลักต่ำสุดคือ เลข 9 ให้เป็นเลข 0 และเปลี่ยนค่าตัวนำให้เพิ่มขึ้นอีก 1 ค่า ซึ่งจะได้เป็น 10, 11, 12, …, 19, 20, 21, 22, …, 29, 30, 31, …, 99, 100, 101, …, 199, 200, 201, 202, …, 999, 1000, 1001, 1002, … (ลองสังเกตการเพิ่มค่าตัวเลขจากหน้าปัทม์บอกจำนวนระยะทางของรถยนต์ )
ตัวเลขโดดในการเขียนตัวเลขใด ๆ อาจจะมีค่าที่แตกต่างกัน เช่น 2000 และ 20 ตัวเลข 2 ของเลข 2 จำนวน จะมีความหมายซึ่งไม่เหมือนกัน หมายความว่าตัวเลขที่ปรากฏ ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ จะมีน้ำหนักที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือจำนวนเต็มในเลขฐานสิบ N ซึ่งมีตัวเลข n ตัว จะมีค่าเท่ากับผลบวกของสัมประสิทธิ์ตามน้ำหนัก หาได้ดังนี้
N10  =   an-1 (10)n-1 + an-2 (10)n-2 + … + a1 (10)1 + a0 (10)0
                ตัวอย่างเช่น 50891 เราสามารถเขียนในลักษณะของน้ำหนักประจำตำแหน่งได้ดังนี้
                50891    =     5 x 104  + 0 x 103  + 8 x 102  + 9 x 101  + 1 x 100
                ถ้าเป็นจำนวนทศนิยม เลขยกกำลังของฐานจะเริ่มตั้งแต่ 1 เป็นต้นไป
                n10  =   a-1 (10)-1 + a-2 (10)-2 + … + a-(m-1) (10)-m+1 + a-m (10)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N10=an-1(10)n-1+an-2(10)n-2+…+a1(10)1+a0(10)0+a-1(10)-1+a-2(10)-2+…+a-(m-1)(10)-m+1+a-m(10)-m

  ระบบเลขฐานสอง
             ระบบเลขฐานสองได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ “GOTTFRIED WILHELM”  ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็น 0 และ 1 เท่านั้น ทำให้ระบบเลขฐานสองนี้เหมาะสมในการนำมาประยุกต์แทนการอธิบายการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่ง โดย ON จะแทน 1 และ OFF จะแทน 0
การนับเลขฐานสอง (Counting in Binary)
การนับเลขฐานสองจะมีหลักการเช่นเดียวกับการนับเลขฐานสิบ คือจะมีตัวนำและตามด้วยเลขพื้นฐาน เช่น  
มีข้อสังเกต   คือ  เลขฐานสอง 16 ตัวแรก จะเขียนด้วยตัวเลขขนาด 4 หลัก หรือ 4 บิทพอดี (bit ย่อมาจาก binary digitและความสำคัญของตัวเลข ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ ก็จะมีระดับความสำคัญที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับเลขฐานสิบ นั่นคือ ตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งซ้ายสุดของจำนวนเลขใด ๆ จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด (most significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า msd หรือ msb) ส่วนตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งขวาสุดของจำนวนเลขใด ๆ จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญต่ำที่สุด(least significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า lsd หรือ lsb) และเช่นเดียวกับเลขฐานสิบเราสามาถเขียนเลขฐานสองในลักษณะเทียบค่าน้ำหนักประจำหลักได้เช่นกัน
N2  =   an-1 (2)n-1 + an-2 (2)n-2 + … + a1 (2)1 + a0 (2)0
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n2  =   a-1 (2)-1 + a-2 (2)-2 + … + a-(m-1) (2)-m+1 + a-m (2)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N2  =  an-1 (2)n-1+ an-2 (2)n-2+…+ a1 (2)1+ a0 (2)0+ a-1 (2)-1+ a-2 (2)-2+…+ a-(m-1) (2)-m+1+ a-m (2)-m

ระบบเลขฐานแปด
          ในการทำงานจริงของอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่งนั้น เราสามารถแทนได้ด้วยเลขฐานสองก็จริง แต่ถ้าหากมีการบอกรายละเอียดเป็นขนาดจำนวนบิตต่าง ๆ ค่อนข้างมาก จะทำให้ไม่สะดวกนั้นในการที่จะใช้เลขฐานสองในการสื่อความหมาย ข้อเสียนี้ของเลขฐานสองทำให้เราจำเป็นต้องหาระบบเลขอื่น ๆ มาใช้แทน ซึ่งเลขฐานแปดเป็นระบบเลขระบบหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แทนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสัญลักษณ์พื้นฐานของเลขฐานแปดประกอบไปด้วยค่าต่ำสุดคือ 0 และค่าสูงสุด คือ 7 ซึ่งสอดคล้องกับ ค่าต่ำสุดของเลขฐานสองจำนวน 3 บิต คือ 000 และค่าสูงสุดคือ 111 พอดี ทำให้เราสามารถเปลี่ยนระหว่างเลขฐานสองและเลขฐานแปดได้สะดวก
การนับจะนวนของระบบเลขฐานแปดก็จะมีลักษณะเดียวกับเลขฐานสองและฐานสิบคือจะต้องประกอบด้วยตัวนำ และตามด้วยตัวเลขพื้นฐาน
ซึ่งเขียนตามน้ำหนักประจำหลักจะได้
N8  =   an-1 (8)n-1 + an-2 (8)n-2 + … + a1 (8)1 + a0 (8)0
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n8  =   a-1 (8)-1 + a-2 (8)-2 + … + a-(m-1) (8)-m+1 + a-m (8)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N8  =  an-1 (8)n-1+ an-2 (8)n-2+…+ a1 (8)1+ a0 (8)0+ a-1 (8)-1+ a-2 (8)-2+…+ a-(m-1) (8)-m+1+ a-m (8)-m

ระบบเลขฐานสิบหก
            ระบบเลขฐานสิบหกมีลักษณะคล้ายเลขฐานแปด โดยค่าต่ำสุดของเลขฐานสิบหก คือ 0 จะมีค่าเท่ากับค่าต่ำสุดของเลขฐานสอง 4 บิต คือ 0000 และโดยค่าสูงสุดของเลขฐานสิบหก คือ F จะมีค่าเท่ากับค่าสูงสุดของเลขฐานสอง 4 บิต คือ 1111 ทำให้ระบบเลขฐานสิบหกจึงเป็นอีกระบบหนึ่งที่นิยมใช้แทนการกล่าวถึงเลขฐานสอง และปัจจุบันจะเป็นที่นิยมใช้เลขฐานสิบหกมากกว่าเลขฐานแปด
           เลขฐานสิบหก N16 ซึ่งมีจำนวนเต็ม n หลัก จำนวนทศนิยม m หลัก จะมีค่าดังสมการ
N16  =  an-1(16)n-1+an-2(16)n-2+…+a1(16)1+a0(16)0+a-1(16)-1+a-2(16)-2+…+ a-(m-1)(16)-m+1+ a-m(8)-m

การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก ให้เป็นเลขฐานสิบ
                เนื่องจากมนุษย์มีความคุ้นเคยกับเลขฐานสิบสามารถเข้าใจเมื่อได้มีการสื่อความหมายด้วยเลขฐานสิบจึงทำให้เราต้องศึกษาวิธีการเปลี่ยนหรือแปลงค่าเลขฐานต่าง ๆ ให้เป็นเลขฐานสิบ เพื่อความเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งเราอาศัยหลักการเปลี่ยนเป็นเลขฐานสิบจากเลขฐานต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก สามารถแปลงเขฐานต่าง ๆ เป็นเลขฐานสิบได้โดยการนำเลขแต่ละตำแหน่งของฐานนั้น ๆ ไปคูณด้วยน้ำหนัก (Weighting) หรือค่าประจำหลักของเลขฐานนั้น ๆ แล้วนำมาบวกกัน เราก็จะได้ค่าออกมาเป็นเลขฐานสิบนั่นเอง

ตัวอย่างที่ 1.1       จงแปลงเลขฐานสอง 1101101 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             11011012       =    (1´26) + (1´25) + (0´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20)
                      =    64   +   32   +   0   +   8   +   4   +   0   +   1
                      =    10910
               
ตัวอย่างที่ 1.2       จงแปลงเลขฐานสอง 0.1011 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             0.1011 2          =    (1´2-1) + (0´2-2) + (1´2-3) + (1´2-4)
                                      =    1´0.5  +  0´0.25  +  1´0.125  +  1´0.0625
                                      =    0.5   +   0   +   0.125   +   0.0625
                      =    0.687510

ตัวอย่างที่ 1.3       จงแปลงเลขฐานสอง 11101.011 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             11101.011 2   =    (1´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20) + (0´2-1)+ (1´2-2)+ (1´2-3)
                                      =    1´16  +  1´8  +  1´4  +  0´2  +  1´1  +  0´0.5  +  1´0.25  +  1´0.125                           
                                      =             16  +  8  +  4  +  0  +  1  +  0  +  0.25  +  0.125
                                      =    29.37510

ตัวอย่างที่ 1.4       จงแปลงเลขฐานแปด 2374 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             23748              =    (2´83) + (3´82) + (7´81) + (4´80)
                                      =    2´512  + 3´64  + 7´8  +  4´1 
                                      =    1024  +  192  +  56  +  4
                                      =    127610

ตัวอย่างที่ 1.5       จงแปลงเลขฐานแปด 0.325 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             0.3258             =    (3´8-1) + (2´8-2) + (5´8-3)
                                      =    3´0.125 + 2´0.015625 + 5´0.001953
                                      =    0.375  +  0.3125  +  0.009765 
                                      =    0.41601510

ตัวอย่างที่ 1.6       จงแปลงเลขฐานสิบหก E5 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             E516                 =    (E´161) + (5´160)
                                      =    14´16  + 5´1 
                                      =    224  +  5 
                                      =    22910

ตัวอย่างที่ 1.7       จงแปลงเลขฐานสิบหก B2F8 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ     
             B2F816            =    (B´163) + (2´162) + (F´161) + (8´160)
                                      =    11´4096 + 2´256 + 15´16 + 8´1
                                      =    45056  +  512 + 240 + 8 
                                      =    4581610
  การแปลงเลขฐานสิบให้เป็น เลขฐานสอง เลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก
            การแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานใด ๆ ก็ตาม จะมีวิธีการคิดเช่นเดียวกัน โดยการแบ่งลักษณะการแปลงได้ 2 กรณี คือ
       1. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขจำนวนเต็ม เราทำการแปลงให้เป็นฐานใด ๆ ได้โดยการนำเลขจำนวนเต็มฐานสิบนั้น ๆ มาหารด้วยเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน โดยเก็บเศษที่เหลือจากการหารเอาไว้ จากนั้นนำคำตอบที่เหลือจากการหารนำไปหารกับเลขฐานที่ต้องการแปลงและเก็บเศษจากการหารเอาไว้อีก กระทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งไม่สามารถนำคำตอบที่เหลือจากการหารไปหารได้อีก เศษที่เหลือจากการหารในแต่ละครั้งนำมาเขียนรวมกันก็จะเป็นผลลัพธ์ของเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน โดยเศษที่เหลื่อจากการหารในครั้งแรกสุด จะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (Least significant digit หรือ LSD) ส่วนเศษที่เหลือจากการหารในครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด(Most significant digit หรือ MSD)

ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 2510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      เศษ
                                25   ¸   2               =   12                      1              (LSD หรือ LSB)
                                12   ¸   2               =   6                        0                
                                6     ¸   2               =   3                        0                
                                3     ¸   2               =   1                        1                
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD หรือ MSB)
                 2510    =    110012

2. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขเศษส่วน(เลขทศนิยม) ซึ่งไม่ใช่จำนวนเต็มเราทำการแปลงให้เป็นฐานใด ๆ ได้ โดยการนำเลขฐานสิบนั้น ๆ คูณด้วยเลขฐานที่จะเปลี่ยนแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวนเต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยม จากนั้นนำคำตอบที่ได้จากการคูณในครั้งแรกเฉพาะเลขทศนิยมเท่านั้นมาทำการคูณกับเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยนอีกแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวนเต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยมอีกครั้ง กระทำอย่านี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งได้คำตอบที่เราเห็นว่าเหมาะสม แล้วจึงนำค่าที่เราเก็บไว้มาเขียนเป็นเลขฐานที่เราต้องการซึ่งจะเป็นทศนิยม โดยค่าจำนวนเต็มที่ได้จากการเก็บในครั้งแรกจะเป็น MSD

ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 0.312510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.3125   ´   2       =   0.625                                0                              (MSD หรือ MSB)
                                0.625     ´   2       =   1.25                                  1                
                                0.25       ´   2        =   0.50                                  0                
                                0.50       ´   2        =   1.00                                  1                
                 0.312510            =    0.01012

                กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขฐานอื่น ๆ  เป็นเลขที่ผสมระหว่างเลขจำนวนเต็มและเลขทศนิยม (เลขจำนวนจริง) ก็ให้ทำการแยกแปลง 2 ครั้ง โดยแยกแปลงแบบหารสำหรับจำนวนเต็ม และ คูณสำหรับทศนิยม แล้วนำคำตอบมารวมกัน

ตัวอย่างที่ 1.9       จงแปลง 18.62510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 1810 และ 0.62510
                ) แปลง  1810  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                เศษ
                                18   ¸   2               =   9                        0              (LSD หรือ LSB)
                                    ¸   2               =   4                        1                
                                4     ¸   2               =   2                        0                
                                2     ¸   2               =   1                        0                
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD หรือ MSB)
                 1810                 =    100102
                ) แปลง  0.62510  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.625     ´   2       =   1.250                                1                              (MSD หรือ MSB)
                                0.250     ´   2       =   0.500                                0
                                0.5         ´   2        =   1.0                                     1
                                0.0         ´   2        =   0                                        0
                 0.62510              =    0.1012
             
ตัวอย่างที่ 1.10     จงแปลง 359.2810 ให้เป็นเลขฐานแปด
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 35910 และ 0.2810
                ) แปลง  35910  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                เศษ
                                359 ¸   8               =   44                      7              (LSD)
                                44   ¸   8               =   5                        4                
                                5     ¸   8               =   0                        5              (MSD)
                 35910                 =    5478

                    ) แปลง  0.2810  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.28       ´   8        =   2.24                                  2                              (MSD)
                                0.24       ´   8        =   1.92                                  1
                                0.92       ´   8        =   7.36                                  7
                                0.36       ´   8        =   2.88                                  2
                                0.88       ´   8        =   7.04                                  7
                 0.2810                =    0.217278
                 359.2810            =    547.217278

ตัวอย่างที่ 1.11     จงแปลง 650.0510 ให้เป็นเลขฐานสิบหก
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 65010 และ 0.0510
                ) แปลง  65010  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                เศษ
                                650 ¸   16            =   40                      10           คือ           A             (LSD)
                                40   ¸   16             =   2                        8                
                                2     ¸   16             =   0                        2              (MSD)
                 65010                 =    28A16
                ) แปลง  0.0510  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.05       ´   16     =   0.80                                  0                              (MSD)
                                0.80       ´   16     =   1.28                                  1
                                0.28       ´   16     =   3.48                                  3
                                0.48       ´   16     =   7.68                                  7
                                0.68       ´   16     =   10.88                                10           คือ           A
                 0.0510                =    0.0137A16
                 650.0510            =    28A.0137A16

การแปลงระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสอง
                จากหัวข้อที่เราได้ศึกษามาแล้ว ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสองนั้น เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึงค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามาก ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้ ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดจะเห็นว่า ความสัมพันธ์ของเลขฐานแปดที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 3 bit พอดี
    เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานแปด
         0 
       000
         0
         1
       001 
         1
         2 
       010
         2
         3
       011
         3
         4
       100
         4
         5
       101
         5
         6
       110
         6
         7
       111
         7

                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง 3 bit ต่อเลขฐานแปด 1 หลัก โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัว
ตัวอย่างที่ 1.12     จงแปลงเลขฐานแปดต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                  478
ข)                  7528
ค)                  37.128
วิธีทำ
                )            478          =             100  1112
                )            7528        =             111  101  0102
                )            37.128       =             011  111 . 001 0102


ตัวอย่างที่ 1.13     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานแปด
ก)                  1011110012
ข)                  10111001102
ค)                  1001101.10112
วิธีทำ
                )            101 111 0012                        =             5 7 18
                )            001 011 100 1102                =             1 3 4 68
                )            001 001 101 . 101 1002         =             1 1 5 . 5 48


 การแปลงระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสอง
                ในลักษณะเดียวกัน ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสองนั้น เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึงค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามากเช่นเดียวกัน ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้ ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกก็จะเห็นเช่นกันว่า ความสัมพันธ์ของเลขฐานสิบหกที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 4 bit พอดี
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานสิบหก
         0
      0000
          0
         1
      0001
          1
         2
      0010
          2
         3
      0011
          3
         4
      0100
          4
         5
      0101
          5
         6
      0110
          6
         7
      0111
          7
         8
      1000
          8
         9 
      1001
          9
        10 
      1010
          A
        11             
      1011
          B
        12
      1100
          C
        13
      1101
          D
        14
      1110
          E
        15
      1111
          F

                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง 4 bit ต่อเลขฐานสิบหก 1 หลัก โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัวเช่นเดียวกับฐานแปด
ตัวอย่างที่ 1.14     จงแปลงเลขฐานสิบหกต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                  CF3716
ข)                  975216
ค)                  D27.8216
วิธีทำ
)            CF3716                   =             1100  1111  0011  01112
)            975216                              =             1001  0111  0101  00102
)            D27.8216                        =             1101  0010  0111 . 1000  00102


ตัวอย่างที่ 1.15     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานสิบหก
ก)                  1011101110012
ข)                  10111001111102
ค)                  100111101.1100112
วิธีทำ
                )            1011  1011  10012               =             B B 916
                )            0001  0111  0011  11102   =             1 7 3 E16
                )            0001  0011  1101 . 1100 11002            =             1 3 D . C C16

1.11   การบวกเลขฐานต่าง ๆ
                การบวกเลขฐานสอง         มีวิธีการคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบแต่จะมีหลักเกณฑ์ที่ง่ายกว่า ดังนี้
                                0  +  0     =             0
                                0  +  1     =             1
                                1  +  0     =             1
                                1  +  1     =             0              ทดไปหลักต่อไปอีก   1

ตัวอย่างที่ 1.16    
                )            1002                           410
                                +102                                   +210
                                1102                                       610

                )            11112                        1510
                            +11002                                  +1210
                            110112                                      2710
                )            101.112                 
                            +  11.012                             
                            1001.002                                 

                ตัวอย่างที่ 1.17     จงบวกเลขฐานแปดต่อไปนี้             
                )            758  +  338
                )            35278  +  6748
วิธีทำ
)                                          758
                                            +338                                        
                                            1308                                         
 )                                      35278                    
                                          + 6748
                                            44238                                   

            ตัวอย่างที่ 1.18     จงบวกเลขฐานสิบหกต่อไปนี้          
                                1A816  +  67B16
วิธีทำ                                                                                      คอลัมน์  3  2  1
                                                                                                                1 A 8
                                                                                                       +     6 7 B
                                                                                                                8 2 3

                วิธีคิด     
                                คอลัมน์ 1  :
                                                8  +  B    =             810  +  1110
                                                               =             1910
                                                               =             16 + 3                              
                                                                =             1316                                                     ผลบวกคือ 3, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 2  :
                                                1  + A  +  7            =             1  + 1010  +  710
                                                                               =             1810
                                                                               =             16 + 2                              
                                                                                =             1216                             ผลบวกคือ 2, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 3  :
                                                1  +  1  +  6            =             810
                                                                               =             816                           ผลบวกคือ 8, ไม่มีตัวทด






5 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สาระดีๆมาฝากเยอะนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่าอ่านสาระมากๆคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าผมอ่านหมดผมกลัวว่าจะเก่งกว่าเพื่อนมีสาระจิงๆครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

การเปลี่ยนฐานตอนเเรกผมไม่เข้าใจเเต่อ่านไปเเล้วเข้าสมองผมนิดๆๆๆๆครับพี่